การทำ Intermittent Fasting (IF) จอร์จ เอฟ. เคฮิลล์ จูเนียร์

การทำ Intermittent Fasting (IF) จอร์จ เอฟ. เคฮิลล์ จูเนียร์

การทำ Intermittent Fasting (IF) ตามงานวิจัยของ จอร์จ เอฟ. เคฮิลล์ จูเนียร์

Intermittent Fasting (IF) หรือการอดอาหารเป็นช่วง ๆ เป็นแนวทางการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน งานวิจัยของ ดร.จอร์จ เอฟ. เคฮิลล์ จูเนียร์ (George F. Cahill Jr.) หนึ่งในนักวิจัยผู้บุกเบิกเรื่องการเผาผลาญพลังงานในร่างกายและผลกระทบของการอดอาหาร ช่วยให้เราเข้าใจถึงประโยชน์และกลไกการทำงานของ IF อย่างลึกซึ้ง

พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ IF จากงานวิจัยของเคฮิลล์

ดร.เคฮิลล์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด ฮอร์โมน และกระบวนการเผาผลาญในร่างกายระหว่างการอดอาหาร งานวิจัยของเขาชี้ให้เห็นว่า:

ช่วงที่ 1: 0-12 ชั่วโมงหลังการอดอาหาร

ในช่วงนี้ ร่างกายยังคงใช้พลังงานจากไกลโคเจนในตับเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ระดับอินซูลินยังคงสูงพอที่จะยับยั้งการสลายไขมัน (lipolysis) แต่เริ่มลดลงเล็กน้อย

ช่วงที่ 2: 12-24 ชั่วโมงหลังการอดอาหาร

หลังจากผ่านไปประมาณ 12 ชั่วโมง ไกลโคเจนในตับจะหมดลง ร่างกายเริ่มกระบวนการ gluconeogenesis โดยเปลี่ยนกรดอะมิโนจากกล้ามเนื้อและไขมันเป็นกลูโคส ระดับอินซูลินลดต่ำลง และการหลั่งกลูคากอนเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของพลังงาน

ช่วงที่ 3: 24-48 ชั่วโมงหลังการอดอาหาร

ในระยะนี้ กระบวนการ ketogenesis เริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจน ไขมันถูกแปลงเป็นคีโตน (ketone bodies) เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานสำรองสำหรับสมองและอวัยวะต่าง ๆ ระดับคีโตนในเลือดเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ช่วงที่ 4: มากกว่า 48 ชั่วโมงหลังการอดอาหาร

ร่างกายเข้าสู่สภาวะคีโตซิส (ketosis) เต็มรูปแบบ คีโตนกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับสมองและร่างกาย การสลายไขมัน (lipolysis) เพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับอินซูลินต่ำสุด และฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น อะดรีนาลีน และโกรทฮอร์โมนเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการรักษามวลกล้ามเนื้อ

ประโยชน์ของ IF ตามแนวคิดของเคฮิลล์

งานวิจัยของ ดร.เคฮิลล์ สนับสนุนว่าการอดอาหารในระยะเวลาที่เหมาะสมสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพในหลายด้าน เช่น:

  • การลดน้ำหนักและไขมันสะสม: การลดอินซูลินช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
  • การป้องกันโรคเบาหวาน: การลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความไวของอินซูลิน
  • การปรับปรุงสมองและระบบประสาท: คีโตนเป็นแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับสมองและช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
  • การต้านการอักเสบ: การลดระดับสารอักเสบในร่างกายช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง

รูปแบบการทำ IF ที่เป็นที่นิยม

  1. 16/8 Method: อดอาหาร 16 ชั่วโมง และรับประทานอาหารในช่วง 8 ชั่วโมง
  2. 5:2 Diet: รับประทานอาหารตามปกติ 5 วัน และจำกัดแคลอรีในอีก 2 วัน
  3. Alternate-Day Fasting: อดอาหารวันเว้นวัน
  4. 24-Hour Fast: อดอาหารเต็มวันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ข้อควรระวัง

แม้ IF จะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน เช่น ผู้ที่ตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเคร่งครัด หรือผู้ที่มีปัญหาด้านการกิน ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการทำ IF

สรุป

Intermittent Fasting เป็นวิธีที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยของ ดร.จอร์จ เอฟ. เคฮิลล์ จูเนียร์ โดยเน้นการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญในร่างกายเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การทำ IF อย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ