การมีเงินเก็บสำรองในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยระดับเงินสำรองที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของอาชีพ รายได้ ความมั่นคง และความเสี่ยงของแต่ละอาชีพ ด้านล่างนี้คือคำแนะนำในการเก็บเงินสำรองสำหรับแต่ละประเภทอาชีพ
Contents

1. พนักงานประจำ
ความมั่นคงรายได้: ปานกลางถึงสูง
คำแนะนำ:
- ควรมีเงินสำรอง อย่างน้อย 3–6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
- หากทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการเลิกจ้าง (เช่น เทคโนโลยี, สื่อ) ควรสำรอง 6–12 เดือน
ตัวอย่าง:
รายจ่ายเดือนละ 20,000 บาท → ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 60,000 – 120,000 บาท
2. ฟรีแลนซ์ / อาชีพอิสระ
ความมั่นคงรายได้: ต่ำและผันผวน
คำแนะนำ:
- ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6–12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
- แนะนำให้แยกเงินสำหรับรายจ่ายส่วนตัว และเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ
ตัวอย่าง:
รายจ่ายเดือนละ 25,000 บาท → ควรมีเงินสำรอง 150,000 – 300,000 บาท
3. เจ้าของกิจการ / SME
ความมั่นคงรายได้: ต่ำถึงปานกลาง, ขึ้นกับธุรกิจ
คำแนะนำ:
- ควรมีเงินสำรอง ทั้งในส่วนของกิจการและส่วนตัว
- ส่วนตัว: 6–12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
- ธุรกิจ: เงินหมุนเวียนสำหรับ อย่างน้อย 3–6 เดือนของค่าใช้จ่ายคงที่
ตัวอย่าง:
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 30,000 → เงินสำรองส่วนตัว 180,000 – 360,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายธุรกิจเดือนละ 50,000 → เงินสำรองธุรกิจ 150,000 – 300,000 บาท
4. ข้าราชการ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ
ความมั่นคงรายได้: สูง
คำแนะนำ:
- เงินสำรอง 3–6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน ก็เพียงพอ
- แต่อาจเน้นออมเพิ่มในรูปแบบการลงทุนอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, RMF
เคล็ดลับการออมเงินสำรอง:
- เปิดบัญชีแยกสำหรับเงินสำรอง ไม่ใช้ปนกับบัญชีรายจ่าย
- เก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น บัญชีออมทรัพย์, กองทุนตลาดเงิน
- ไม่ควรนำไปลงทุนที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น หรือคริปโต